รักร้อยเกลียวไหม - นิยาย รักร้อยเกลียวไหม : Dek-D.com - Writer
×

    รักร้อยเกลียวไหม

    เมืองใหม่ก็สร้างแล้ว เรือนใหม่ก็มีแล้ว เหลือแต่เมียนี่แหละหนาที่ยังไม่มี แลนางบ่าวค้างเรือนนี่เล่า อายุปาเข้าไป 19 แล้ว ทำไมยังไม่ออกเรือนไปอีก หรือมันคิดจะอยู่ให้ข้าเลี้ยงไปจนแก่ตายคาเรือนเลยหรือไร!

    ผู้เข้าชมรวม

    71,657

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    18

    ผู้เข้าชมรวม


    71.65K

    ความคิดเห็น


    228

    คนติดตาม


    996
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    จำนวนตอน :  42 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  31 พ.ค. 65 / 12:02 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    กรุงรัตนโกสินทร์อินท์ อโยธยา ปี พ.ศ. ๒๓๒๗

    บ่าวในเรือนขุนปราบไพรีศรีราชสงครามรีบเก็บข้าวของทั้งของนายตัวแลของๆ ตัวขึ้นเกวียนใหญ่สามเล่มไปรอข้ามแพ เมื่อได้รับคำสั่งให้ย้ายไปอยู่บ้านพระราชทานหลังใหม่ยังอีกฟากของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือ กรุงรัตนโกสินทร์อินท์ อโยธยา เมืองหลวงใหม่ฝั่งเมืองบางกอกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงสร้างขึ้นใหม่

    แม้ข้าวของมีค่าของท่านขุนปราบจะมีไม่มาก เพราะนายเรือนเป็นนักรบ ชีวิตวันๆ อยู่แต่สนามรบ หาได้มีเวลากินนอนอยู่บ้านเช่นคนอื่นเขา ทิ้งบ้านเอาไว้ให้บ่าวอยู่ ส่วนตัวนายไปกินนอนอยู่ชายแดนกาญจนบุรี ด้วยติดศึกใหญ่ศึกเล็กกับพวกอังวะไม่ได้ขาดจนบ่าวไพร่ไม่ได้เห็นหน้านายเรือนจวนจะห้าปีแล้ว

    แม้แต่วันย้ายบ้าน ย้ายเรือน ท่านขุนก็หาได้มาสั่งการด้วยตัวเอง กลับให้ทหารเอาจดหมายมาแจ้งกับท่านน้าจรุงใจ ญาติสนิทเพียงคนเดียว ให้ช่วยเป็นแม่งานสั่งการบ่าวไพร่ในเรือน ให้เก็บของแล้วย้ายไปรอที่บ้านใหม่ ส่วนตัวท่านนั้นจะกลับมาพระนครเมื่อใดยังไม่มีกำหนด

    “ไอ้อิน เอ็งเร่งให้บ่าวไพร่เก็บสมบัติของนายเอ็งลงหีบให้หมด บ้านพระราชทานหลังใหม่ของพ่อปราบที่ฝั่งบางกอกท่านแจ้งว่าสร้างเสร็จแล้ว”

    “จะไม่รอท่านขุนกลับมาก่อนหรือขอรับ”

    “ไม่ต้องรอ หลานข้ายังไม่แจ้งว่าเมื่อใดจะกลับ ด้วยมันมีข่าวเล็ดรอดออกมาว่าพระเจ้าปดุงสั่งเกณฑ์ไพล่พลครั้งใหญ่ หากฝั่งโน้นยกทัพมาจริงพ่อปราบต้องอยู่ยันศึก จึงให้เอ็งเก็บของแลพาบ่าวไพร่ไปคอยที่เรือนใหม่ ส่วนข้าจะไปหาพระดูฤกษ์ยามวันย้ายเรือนให้หลานข้าก่อน”

    ปู่อิน หัวหน้าบ่าวไพร่ประจำเรือน แล้วยังเป็นคนสนิทของพระศรีสงคราม บิดาของขุนปราบฯ ตั้งแต่ครั้งอยู่เรือนเดิมที่กรุงศรีอยุธยาเร่งรับคำสั่งของแม่นายจรุงใจเร่งเก็บของที่มีอยู่ไม่มากเตรียมย้ายเรือน แลข้าหดหู่ใจนักที่แม่นายจรุงจิตจะมาสิ้นลมจากไปด้วยโรคฝีในท้อง ไม่มีโอกาสได้ย้ายไปอยู่เรือนพระราชทานของลูกชายที่เมืองหลวงใหม่ด้วยกัน

     ..............................................

    “พวกเอ็งเร่งขนข้าวของที่จะทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ลงจากเกวียนเร็วเข้า ของอย่างอื่นอย่าเพิ่งยกลงมาให้รอจนกว่าข้าจะทำพิธีเสร็จ แลไอ้ไหมเอ็งรีบยกถ้วยข้าวสาร กับถ้วยเกลือตามปู่ขึ้นไปทำพิธีขึ้นเรือนใหม่ หาไม่จะอยู่กันไม่สุขสงบร่มเย็น”

    “จ้ะปู่” 

    เกลียวไหมรีบเปิดไหข้าวสาร ไหเกลือ ตักข้าวตักเกลือใส่ถ้วยที่เตรียมไว้สำหรับพิธีเข้าบ้านใหม่ ยกตามปู่อินที่กำลังอุ้มพระพุทธรูปพอกปูนดำเดินไปรออยู่หน้าบันไดเรือนใหม่ พร้อมกับบ่าวในเรือนที่ช่วยกันหอบหิ้วเครื่องบูชาสำหรับทำพิธีขึ้นบันไดเรือนไปพร้อมกัน

    “เอ็งรอปู่ตรงนี้ก่อน ปู่จะไปดูทิศดูทางตั้งองค์พระให้ท่านก่อน”

    หญิงสาวยืนถือถ้วยข้าวกับเกลือรออยู่ที่กลางเรือน พลางกวาดตามองไปรอบๆ เรือนหลังใหม่อย่างตื่นเต้น ด้วยเรือนหมู่พระราชทานหลังนี้ใหญ่กว่าเรือนเก่าที่ฝั่งธนบุรีศรีมหาสมุทรมากนัก แล้วยังมีหมู่เรือนมากถึงเจ็ดเรือนให้บ่าวไพร่ได้ถูกันสนุกเชียว แลช่างน่าขบขันที่แม้ท่านขุนปราบจะมีเรือนใหญ่โตขึ้นตามยศศักดิ์ แต่ท่านหาได้เคยกลับมาอยู่ไม่ ทิ้งเรือนไว้ให้พวกบ่าวกวาดถูเล่นไปเสียอย่างนั้น

    “ไหม ตามปู่มา”

    เกลียวไหมเดินตามปู่ไปที่หอพระทางด้านขวาของศาลากลางเรือน แล้วรอให้พี่ๆ ตั้งโต๊ะหมู่บูชา และเมื่อปู่นิมนต์พระพุทธรูปขึ้นตั้งบนโต๊ะหมู่แล้ว เธอจึงวางถ้วยข้าวกับถ้วยเกลือลง แล้วรอให้ปู่จุดธูปเทียนบูชาพระจนเสร็จ

    “นิมนต์พระขึ้นเป็นประธานเรือนเรียบร้อยแล้ว พวกเอ็งลงไปขนของเข้าเรือนได้ ส่วนไหมเอ็งไปยกอ่างน้ำมา ปู่จะสรงน้ำพระ”

    หญิงสาวรีบไปยกอ่างน้ำที่พี่ขนุนหอม ผสมน้ำอบกับดอกมะลิยกมารอไว้ให้แล้ว ก่อนจะนั่งดูปู่ทำพิธีกะเทาะปูนออกจากองค์พระออกทีละนิดจนเห็นเนื้อองค์พระสีทองอร่ามด้านใน

    พระพุทธรูปทองคำแท้ สมบัติประจำตระกูลของคุณพระศรีสงคราม พ่อของท่านขุนปราบไพรีราชสงคราม ที่ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกเพียงสิบวัน ท่านขุนปราบไพรีฯ ที่ในครานั้นมียศเป็นเพียงหมื่น สั่งให้ปู่อินพาแม่นายจรุงจิต มารดาของท่านกับบ่าวไพร่หนีออกจากกรุงศรีอยุธยาไปหลบภัยยังบ้านท่านน้าหญิงจรุงใจที่เมืองธนบุรีศรีมหาสมุทรเสียก่อน ปู่อินจึงนิมนต์พระพุทธรูปทองคำ พระประธานประจำเรือนหนีตายออกมาจากกรุงศรีอยุธยาด้วยกัน

    เกลียวไหมจำเรื่องเล่าของปู่ได้ทุกคำ เพราะฟังมาทุกครั้งเวลาที่เราสรงน้ำพระในวันสงกรานต์ ที่ปู่จะเล่าถึงวันที่เร่งเอาขี้เถ้ากับดินโคลนมาผสมกับปูนพอกทับองค์พระทองคำไว้เพื่อความปลอดภัย

    “ที่ข้าต้องพอกดินพอกปูนทับองค์ท่านไว้ ด้วยจะได้ไม่เป็นที่สังเกตุของพวกโจร หากไปไม่รอดข้าจะส่งท่านลงสู่ก้นแม่น้ำไปเสียดีกว่าให้ไอ้พวกอังวะได้ไป แลในครานั้นก็จวนตัวนัก มือหนึ่งข้าอุ้มพระ ส่วนอีกมือข้าอุ้มเอ็ง พระก็ทิ้งไม่ได้ หลานน้อยคนเดียวของข้าก็ยิ่งทิ้งไม่ได้”

    “ฉันก็นึกว่าปู่จะส่งหลานน้อยลงแม่น้ำ แลอุ้มพระทองคำหนีไปคนเดียวเสียอีก”

    “บ๊ะไอ้หลานคนนี้! กูน่าจะเอาขี้เถ้าพอกพระยัดปากมึงเสียตั้งแต่วันกรุงแตก ไม่น่าอุ้มมาด้วยเลย!

    “ฉันหยอกปู่เล่นดอกหนา หากปู่ไม่เมตตาอุ้มฉันมา ฉันคงตายอยู่ที่กรุงศรีนั่นแล”

    “ใครจะไปทิ้งเอ็งลง เพิ่งจะคลอดออกมายังไม่ถึงหกเดือนดี พ่อแม่ก็มาตายในการศึกเสียหมด เหลือแต่หลานน้อยไว้ให้ข้าดูต่างหน้า แลเอ็งจำไว้หนาเกลียวไหม ในกาลข้างหน้าถ้าปู่ตายไปแล้ว หากท่านขุนต้องย้ายบ้านย้ายเรือนไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เอ็งต้องหาปูนมาพอกองค์พระทองคำไว้เช่นเดียวกับที่ปู่ทำ หากข้าศึกจวนตัวหาทางไปไม่รอดเอ็งจงตั้งจิตอธิษฐานฝากพระแม่คงคาแลพระแม่ธรณีให้ท่านช่วยดูแล แล้วจึงปล่อยองค์พระลงสู่แม่น้ำหรือฝังดินเสีย อย่าให้ศัตรูได้ท่านไปเป็นเด็ดขาด”

    “จ้ะปู่”

    นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สิบเจ็ดปีแล้วที่พระพุทธรูปทองคำองค์นี้ระหกระเหินมากับพวกเรา ชีวิตของบ่าวไพร่ในเรือนนี้จึงผูกพันกับพระพุทธรูปองค์นี้มากนัก ด้วยอุ้มหนีตายกันมาจากกรุงศรีอยุธยา จนมาถึงกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร แลบัดนี้เราย้ายมาอยู่เมืองหลวงใหม่ที่ชื่อว่า “กรุงรัตนโกสินทร์อินท์ อโยธยา” ท่านก็ยังอยู่เป็นมิ่งขวัญให้กับพวกเรา

    แลวันนี้...วันที่เราได้ย้ายมาอยู่บ้านพระราชทานใหม่ของท่านขุนปราบไพรีราชสงคราม คงเป็นเวลางามที่จะกะเทาะปูนออกเพื่อคืนความสง่างามให้องค์พระทองคำแล้ว หลังจากที่ท่านต้องแอบซ่อนองค์ไว้ใต้ปูนหยาบนานถึงสิบเจ็ดปี

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น